7M SPORTS เพิ่มเป็นไซต์โปรด 
หน้าแรก - ฟุตบอลโลกสมัยก่อน - ฟุตบอลโลกครั้งที่ 11 ( ฟุตบอลโลก 1978 ที่ประเทศอาร์เจนตินา )

ฟุตบอลโลกครั้งที่ 11 ( ฟุตบอลโลก 1978 ที่ประเทศอาร์เจนตินา )

ฟุตบอลโลก 1978 เป็นการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งที่ 11 ที่จัดขึ้นที่ประเทศอาร์เจนตินา ระหว่างวันที่ 1-25 มิถุนายน ค.ศ. 1978 โดยอาร์เจนตินาได้รับเลือกให้เป็นประเทศเจ้าภาพจากฟีฟ่าในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1966 ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 1978 ผู้ชนะคืออาร์เจนตินาที่ชนะทีมเนเธอร์แลนด์ไป 3-1 หลังจากต่อเวลา การชนะครั้งนี้ของอาร์เจนตินาทำให้เป็นทีมที่ 5 ที่เป็นเจ้าภาพและเป็นผู้ชนะฟุตบอลโลก

ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายทางการเมืองในประเทศอาร์เจนตินา จนเป็นที่เกรงกันว่าฟุตบอลโลกปี 1978 อาจจะไม่สามารถจัดขึ้นได้บนแผ่นดินอเมริกาใต้ในตอนแรก ขุนพลฟ้า-ขาวได้ประกาศศักดาคว้าแชมป์โลกสมัยแรกมาครอง ที่กรุงบูเอโนสไอเรส แม้จะมีเสียงครหาถึงกลโกงต่างๆ ที่เจ้าภาพงัดออกมาใช้ในครั้งนี้ก็ตาม

ปัญหาด้านความพร้อมเรื่องสถานที่จัดการแข่งขัน ทำให้ศึกเวิลด์ คัพ ครั้งนี้ค่อนข้างฉุกละหุกทีเดียว ทีมที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันต้องกระจัดกระจายไปใช้สนามร่วมกับกลุ่มอื่น รวมทั้งหมดแล้วมีถึง 9 ทีมที่ต้องมาแข่งขันกันที่บูเอโนสไอเรส

สำหรับทีมเต็งแชมป์ในครั้งนี้ นอกเหนือจากอาร์เจนตินา ภายใต้การนำทีมของ เซซ่าร์ หลุยส์ มิน็อตติ กุนซือสิงห์อมควันแล้ว "แซมบ้า" บราซิล ก็เป็นอีกทีมที่ได้รับความคาดหมายว่าจะกระชากถ้วยฟุตบอลโลกมาครอง หลังจากที่โชว์ฟอร์มในรอบคัดเลือกได้อย่างสุดยอด

ในการแข่งขันนัดเปิดสนาม "แชมป์เก่า" เยอรมันตะวันตก ซึ่งนำโดย มิชาเอล รุมเมนิกเก้ ทำได้เพียงเสมอกับ โปแลนด์ 0-0 ทำให้เป็นอีกครั้งที่ไม่มีสกอร์เกิดขึ้นในเกมเปิดสนามฟุตบอลโลก นับตั้งแต่ปี 1962 เป็นต้นมา

ทว่าในช่วงบ่ายของวันถัดมา ตูนิเซีย ทีมนอกสายตาได้สร้างความฮือฮาด้วยการอัด เม็กซิโก 3-1นับเป็นชัยชนะครั้งแรกของทีมจากทวีปแอฟริกา ในศึกฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายด้วย ขณะที่ในกลุ่ม 1 ก็เกิดเรื่องฮือฮาขึ้นเช่นกัน เมื่อ อิตาลีเฉือนชนะ ฝรั่งเศส 2-1 โดย แบร์กนาร์ ลาคอมป์ ของทีมตราไก่สร้างสถิติพังประตูที่เร็วที่สุดในฟุตบอลโลก ด้วยเวลาเพียง 31 วินาทีเท่านั้น

อาร์เจนตินาและ ฮังการี ก็เป็นอีก 2 ทีมที่อยู่ร่วมกลุ่ม 1 ทั้งสองลงสนามฟาดแข้งกันอย่างสนุก และในที่สุดเจ้าภาพ ซึ่งประกอบไปด้วยยอดนักเตะอย่าง มาริโอ เคมเปส, เรเน่ เฮ้าส์แมน, ออสวัลโด้ อาร์ดิเลส และ ดาเนียล พาสซาเรลล่า ก็เป็นฝ่ายชนะไป 2-1 โดยผู้เล่นฮังการีโดนไล่ออกถึง 2 คน ท่ามกลางความสะใจของแฟนบอลจำนวน 77,000 คนในวันนั้น

อีก 4 วันถัดมา อิตาลีเอาชนะ ฮังการีอย่างสบาย 3-1 ขณะที่เจ้าภาพก็ปราบ ฝรั่งเศส ลงได้เช่นกัน โดยความอนุเคราะห์ของ ฌอง ดูบาช์ ผู้ตัดสินชาวสวิส ที่ให้จุดโทษกับทีมฟ้า-ขาวในครึ่งแรก แต่ปฏิเสธจุดโทษของทีมตราไก่ในครึ่งหลัง ทำให้สกอร์จบลงด้วยอาร์เจนตินาชนะไป 2-1

อาร์เจนตินา ต้องมาตัดสินตำแหน่งแชมป์กลุ่มกับอิตาลี ในนัดสุดท้าย ซึ่งเป็นเกมสำคัญยิ่ง เนื่องจากหากทีมใดแพ้จะต้องไปแข่งที่ โรซาริโอ ทางตอนเหนือ ขณะที่ผู้ชนะจะได้เล่นในบูเอโนส ไอเรส ต่อไป และก็เป็นขุนพลมะกะโรนีที่ทำได้เยี่ยมกว่า โดย โรแบร์โต้ เบ๊ตเตก้า ซัลโวประตูโทนให้ แฟนบอลในสนามต้องเงียบกริบ และส่งเจ้าภาพไปยังโรซาริโอ จริงๆ

ขณะที่กลุ่ม 3 ออสเตรีย กลายเป็นทีมนำของกลุ่ม เมื่อเอาชนะ สเปน 2-1 ด้วยประตูอันสุดยอดของ ชัคเนอร์ ส่วนบราซิล เริ่มต้นฟุตบอลโลกได้อย่างน่าผิดหวัง เมื่อแพ้ต่อ สวีเดน และนัดต่อมาก็ทำได้แค่เสมอ สเปน 0-0 ก่อนที่ในนัดที่ 3 แซมบ้า พบกับออสเตรีย ที่เข้ารอบไปเรียบร้อยแล้ว แต่ บราซิล ก็ยังเล่นได้น่าผิดหวัง ยังดีที่อุตส่าห์เฉือนชนะได้ 1-0 ทำให้ได้ผ่านเข้ารอบ 2 ไปอย่างหวุดหวิด ต้องไปอยู่ในกลุ่ม บี ในรอบที่ 2

ส่วนกลุ่ม 4 สกอตแลนด์ ตั้งเป้าจะเสมอ 3 เกมรวด แต่ลูกทีมของ อัลลี่ แม็คลาวด์ ก็ต้องผิดหวัง เมื่อแพ้ต่อ เปรู 1-3 ก่อนที่จะเสมอ อิหร่าน 1-1 โดยนัดสุดท้ายต้องเจอกับ ฮอลแลนด์ ซึ่งเป็นโอกาสสุดท้ายที่ทีมขี้เมา จะฝากความประทับใจไว้ในฟุตบอลโลกครั้งนี้ และสกอตแลนด์ ก็ทำได้สมกับที่ตั้งใจ พลิกกลับมาชนะขุนพลแดนกังหันลม 3-2 นับเป็นการคว้าชัยเหนือฮอลแลนด์เป็นครั้งแรกในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ซึ่งจุดโทษของ ร็อบ เรนเซ็นบริงค์ ในนัดนี้ ก็เป็นประตูที่ 1,000 พอดีในรอบสุดท้าย

ในรอบ 2 กลุ่ม เอ ประกอบไปด้วย เยอรมันตะวันตก, อิตาลี, ออสเตรีย และ ฮอลแลนด์ ส่วนกลุ่ม บี ประกอบไปด้วย อาร์เจนตินา, โปแลนด์, บราซิล และ เปรู

กลุ่ม เอ นั้น อิตาลี เสมอกับ เยอรมันตะวันตก 0-0 ในนัดแรก ขณะที่ฮอลแลนด์ถล่มออสเตรีย 5-1 ส่วนนัดที่ 2 เป็นการพบกันของคู่แค้นอย่างอินทรีเหล็กกับอัศวินสีส้ม และเสมือนกับเป็นการย้อนรำลึกถึงนัดชิงชนะเลิศเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ก่อนที่เกมจะจบลงด้วยการเสมอกัน 2-2 โดย ดิ๊ก นันนิงก้า ตัวสำรองของฮอลแลนด์ถูกไล่ออก หลังจากลงเหยียบสนามได้เพียง 9 นาที ขณะที่อิตาลีเฉือนชนะออสเตรีย 1-0 จากประตูของ เปาโล รอสซี่

ในนัดสุดท้าย ออสเตรีย ที่ตกรอบไปแล้วทิ้งทวนได้อย่างงดงาม เมื่อเอาชนะเยอรมันตะวันตก ทีมเพื่อนบ้าน 3-2 ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 47 ปี และการแพ้ในนัดนี้ก็ทำให้ปรมาจารย์ลูกหนังอย่าง เฮลมุท เชิน เสียใจเป็นอย่างยิ่ง ประกาศวางมือจากการคุมทีมทันที หลังจากพาเยอรมันตกรอบ

ส่วนอิตาลีจำเป็นต้องเอาชนะฮอลแลนด์ให้ได้ เพื่อโอกาสเข้าชิงชนะเลิศ พวกเขามีโอกาสอันสดใส จากการทำเข้าประตูตัวเองของ เออร์นี่ บันด์ทส์ กองหลังดัตช์ จนกระทั่งนาทีที่ 77 อารี ฮาน ซัดประตูตีเสมอส่งให้ขุนพลฟลายอิ้งดัตช์แมน ได้ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศเป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน

ขณะที่ในกลุ่ม บี เป็นการดวลกันระหว่าง อาร์เจนตินากับ บราซิล 2 ทีมที่มีโอกาสเข้าชิงชนะเลิศมากที่สุด โดยเกมแรก ขุนพลแซมบ้าชนะเปรู 3-0 ส่วนทีมฟ้า-ขาวเอาชนะโปแลนด์ 2-0 จากการเหมายิงของเคมเปส ขณะที่ เดย์น่า ฉลองการติดทีมชาติครบ 100 นัดด้วยการซัดจุดโทษพลาด

และจากการเล่นในนัดที่ 2 ที่ อาร์เจนตินา เสมอ บราซิล 0-0 ทำให้ทั้งคู่ต้องมาตัดสินการเข้ารอบกันที่นัดสุดท้าย โดยบราซิล ชนะ โปแลนด์ 3-1 ทำให้เจ้าภาพต้องยิงไม่ต่ำกว่า 4 ประตู ถึงจะเข้าชิงชนะเลิศ และอาร์เจนตินาก็ทำได้เกินเป้า เมื่อไล่ถล่ม เปรู ที่สิ้นหวังแล้วไปถึง 6-0 ท่ามกลางความกังขาจากฝ่ายแซมบ้า

เกมนัดชิงชนะเลิศ ยังไม่ทันเริ่มแข่งขัน เจ้าภาพก็ทำป่วนเมื่อขอร้องให้ เรเน่ ฟาน เดอร์ เคอร์คอฟ ถอดเฝือกที่แขนที่เป็นปูนปลาสเตอร์ออก ทำเอา รุด ครอล กัปตันทีมดัตช์ ฉุนจัดนำลูกทีมเดินออกจากสนาม แต่ แซร์โจ้ โกเนลล่า ผู้ตัดสินชาวอิตาเลียน ก็ทำให้การแข่งขันเริ่มขึ้นได้ แม้ต้องล่าช้าออกไปกว่า 10 นาทีก็ตาม

การแข่งขันนัดชิง ถูกถ่ายทอดไปกว่า 90 ประเทศ ฮอลแลนด์ เริ่มต้นได้ไม่ดี และรับใบเหลืองไปถึง 3 คน ขณะที่ฝั่งเจ้าภาพโดนไป 2 ราย จนถึงนาทีที่ 38 อาร์เจนตินา ก็มาได้ประตูแรก เมื่อ เคมเปส ได้บอลจาก ลีโอ โปลโด ลูเก้ ก่อนจะเลี้ยงฝ่าแนวรับอัศวินสีส้มเข้าไปยิงประตูให้ขุนพลฟ้า-ขาวนำ 1-0 ในครึ่งแรก

ครึ่งหลัง ฮอลแลนด์ ก็ยังเล่นกันได้ไม่ดี แต่ก่อนหมดเวลา 7 นาที นันนิงก้า ก็โขกพังประตูตีเสมอได้สำเร็จ และ ทีมอัศวินสีส้ม น่าจะได้แชมป์โลกไปครอง แต่ลูกยิงของ เรนเซนบริง กลับพุ่งไปชนเสากระดอนออกมาอย่างน่าเสียดาย ทำให้เกมจบ 90 นาทีลงด้วยการเสมอกัน 1-1 ต้องต่อเวลาพิเศษ

ช่วงต่อเวลานี้เอง เคมเปส ก็ได้กลายเป็นฮีโร่ของคนทั้งชาติ เมื่อจัดการซัด 1 ประตู และผ่านให้ แบร์โตนี่ ยิงอีก 1 ลูก ทำให้จบการแข่งขัน อาร์เจนตินา ชนะ ฮอลแลนด์ 3-1 คว้าแชมป์โลกไปครองเป็นสมัยแรก ท่ามกลางความยินดีและการเฉลิมฉลองของแฟนบอลอาร์เจนไตน์ จนทำให้ลืม ปัญหาทางการเมืองอันเลวร้ายไปอย่างหมดสิ้น และตอกย้ำให้เห็นว่า อย่างไรเสียประเทศเจ้าภาพก็อยู่ในฐานะที่ได้เปรียบคู่แข่งอยู่เสมอ

เมือง&สนามบอล
ตารางคะแนน
  • A
  • B
  • C
  • D
  • E
  • F
  • G
  • H
    หากไม่มีการระบุเวลาการแข่งขันใด ให้ยึดเวลาของ GMT+0800 เป็นหลักเท่านั้น
    เวบไซด์นี้สงวนลิขสิทธิ์โดย www.7mth.com Copyright © 2003 -