7M SPORTS เพิ่มเป็นไซต์โปรด 
หน้าแรก - ฟุตบอลโลกสมัยก่อน - ฟุตบอลโลกครั้งที่ 3 ( ฟุตบอลโลก 1938 ที่ประเทศฝรั่งเศส )

ฟุตบอลโลกครั้งที่ 3 ( ฟุตบอลโลก 1938 ที่ประเทศฝรั่งเศส )

ฟุตบอลโลกครั้งที่ 3 เกิดขึ้นบนแผ่นดินยุโรป ท่ามกลางกลิ่นไอของสงครามที่ยังไม่จางหาย ฝรั่งเศสรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพในครั้งนี้ โดยมีกลุ่มประเทศแถบอเมริกาใต้นำโดย อาร์เจนตินา ที่เห็นว่าน่าจะมีการจัดขึ้นในอเมริกาใต้มากกว่า แต่ในที่สุดมติของฟีฟ่าก็ยังยืนยันว่า ฝรั่งเศส พร้อมที่สุดแล้วสำหรับฟุตบอลโลกครั้งที่ 3

ด้วยสาเหตุของการขัดแย้งในเรื่องของการเป็นเจ้าภาพนี่เอง ทำให้มีทีมจากอเมริกาใต้เข้าร่วมมหกรรมฟุตบอลโลกครั้งนี้เพียงทีมเดียว นั่นคือ บราซิล ที่ไม่เคยเรียกร้องอะไร นอกจากขอให้ได้ลงเล่นก็พอ ส่วนเจ้าตำรับลูกหนังโลก อังกฤษ ยังคงไม่แยแสต่อการแข่งขันทัวร์นาเมนต์นี้เหมือนเดิม

ในขณะที่ทีมอย่าง เยอรมัน ภายใต้การคุมทีมของ ดร.อ๊อตโต้ แนร์ซ กลายเป็นทีมเต็ง 1 หลังจากดึงเอาผู้เล่นของออสเตรียมาร่วมทีม ลงเล่นในรอบคัดเลือกชนะฉลุย ผ่านเข้ารอบสุดท้ายอย่างสง่าผ่าเผย นอกจากนี้ ทีมเล็กๆ อย่าง เวลส์, คิวบา และ ดัตช์เวสต์อินดีส กลายเป็นทีมที่น่าจับตามองในฐานะที่เป็นทีมเล็กๆ ที่อุตส่าห์ฝ่าฟันเข้ามาถึงรอบสุดท้ายได้อย่างน่าชมเชย

การแข่งขันครั้งนี้มีทีมเข้าร่วมโม่แข้งกัน 16 ทีม แข่งแบบน็อกเอาต์ ใครแพ้ตกรอบทันที เพียงแค่รอบแรกก็เกิดพลิกล็อกจนได้ เมื่อทีมเต็งจ๋าอย่าง อินทรีเหล็ก เยอรมัน ทำได้เพียงเสมอกับ สวิตเซอร์แลนด์ 1-1 ต้องมีการแข่งกันใหม่ ปรากฏว่า นักเตะ เยอรมัน กลับพลาดท่าพ่ายไปอย่างเหลือเชื่อ 2-4 กลับบ้านไปตั้งแต่รอบแรก และในรอบแรกนี่เอง บราซิล ก็ได้ร่ายมนต์สะกดผู้ชมในบอร์กโดซ์ เมื่อโชว์ลีลาสไตล์แซมบ้า เอาชนะ โปแลนด์ ทีมแกร่งจากยุโรปไปได้ 6-5 หลังเสมอกันในเวลา 4-4 นัดนี้ เลโอนิคาส ดา ซิลวา เจ้าของฉายา "The Black Diamond" ระเบิดฟอร์มทำแฮตทริกแรกได้สำเร็จ

ทางด้านแชมป์เก่า อิตาลี ยังคงนำทีมโดยผู้เล่นหลักในครั้งที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น จูเซ็ปเป้ เมียซซ่า, โจวานนี่ เฟอร์รารี่ และ เอราลโด้ มอนเซกลิโอ กลับทำได้ไม่ดีนัก ในรอบแรกเกือบเสียท่าให้กับ นอร์เวย์ แต่ด้วยความเก๋าเกมกว่า จึงเบียดเอาชนะไปได้หวุดหวิด 2-1

อิตาลี ต้องโคจรมาพบกับเจ้าภาพ ฝรั่งเศส ในรอบ 2 วิตตอริโอ ปอซโซ่ กุนซือของทีมอัซซูรี่ ตัดสินใจถอดเอาฟูลแบ๊กอย่าง มอนเซกลิโอ ออก แล้วเติมปีกซ้าย-ขวา อเมเดโอ บิอาวาติ และ จีโน่ โคลาอุสชี่ เพื่อเสริมเกมรุกแทน ปรากฏว่าแผนของ ปอซโซ่ ได้ผล อิตาลี ไล่ถล่มเจ้าภาพอย่างไม่เกรงใจ กองเชียร์เจ้าถิ่นกว่า 5 หมื่นคนต้องกลับบ้านด้วยความหงอยเหงา หลังจากทีมรักถูกถล่มไป 3-1 ทำให้อิตาลี กลายเป็นทีมเต็งขึ้นมาทันที

ส่วนแมตช์ที่ดุเดือดที่สุดคงจะไม่พ้นการพบกันระหว่าง บราซิล กับ เชโกสโลวะเกีย ที่ถูกขนานนามว่า "สงครามแห่งบอร์กโดซ์"

นักเตะแซมบ้า พากันลืมลีลาอันสวยงามที่เคยโชว์เอาไว้ในรอบแรก พวกเขากลับเชิดแข้งใส่เชโกสโลวะเกียแบบดุเดือด โดยทั้ง 2 ทีมมีผู้เล่นถูกไล่ออกไปรวม 3 คน ผลปรากฏว่าเสมอกันในเวลา 1-1 และ 2 สตาร์ชาวเช็ก คือนายทวาร ฟรานติเช็ค พลานิคก้า และ ดาวยิง โอลด์ริช เนเจ็ดลี่ ถูกนักเตะแซมบ้าเตะติดดาบจนแขนหักและขาหัก หมดสิทธิ์ลงเล่นในนัดเตะใหม่ทั้งคู่ ผลในนัดแข่งใหม่ปรากฏว่า บราซิล กลับมาเอาชนะไปได้หวุดหวิด 2-1 ผ่านเข้าไปพบกับของแข็งอย่าง อิตาลี

แฟนบอลส่วนใหญ่พากันเชียร์บราซิล เนื่องด้วย ทอิตาลี ได้ฝากรอยแผลไว้ให้กับชาวยุโรปและชาวโลกทั้งมวล ด้วยเหตุที่เป็นผู้ก่อให้เกิดสงครามโลก ภายใต้การนำของลัทธิฟาสซิสต์ อิตาลี จึงกลายเป็นผู้ร้ายในสายตาของแฟนบอล

แต่แรงเชียร์ของชาวฝรั่งเศสก็ไม่สามารถช่วยให้บราซิลรอดพ้นความพ่ายแพ้ไปได้ ไม่ว่าบราซิลจะบุกหนักซักเพียงใด ก็ไม่อาจฝ่าปราการหลังของทีมอัซซูรี่ไปได้ กลับถูก เมียซซ่า และ โคลาอุส ยิงประตูเอาชนะไปได้ 2-1 ผ่านเข้าชิงชนะเลิศเป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน

ส่วนคู่ชิงของอิตาลีคือ ฮังการี ที่เอาชนะสวีเดนลงได้ ท่ามกลางผู้ชมบางตาเพียง 17,000 คนเท่านั้น เกมนี้สวีเดนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเอาชนะฮังการีให้ได้ เพื่อเป็นเกียรติยศถวายแด่กษัตริย์กุสตาฟาที่ 5 ซึ่งมีพระชนมายุครบ 80 พรรษาในวันนั้นพอดี แต่แล้วพวกเขาก็ต้องพ่ายให้ความแข็งแกร่งของนักเตะแม็กยาร์ โดนไล่ถลุงไป 5-1 ที่ปาร์ค เดส์ แปร็งซ์

นัดชิงชนะเลิศมีขึ้นที่สนาม สต๊าด เดอ โคลอมป์ เพียงแค่ 5 นาที อิตาลีก็ขึ้นนำ 1-0 จากโคลาอุสซี่ แต่เพียง 2 นาที ฮังการีก็ตีเสมอได้จากการยิงของ พาลติกอส แต่อิตาลีก็อาศัยความแข็งแกร่ง ค่อยๆ ไล่บี้ฮังการีจนยิงได้อีก 2 ประตู จาก ซิลวิโอ ปิโอล่า และ โคลาอุสซี่ จบครึ่งแรกสกอร์หยุดอยู่ที่ 3-1

ครึ่งหลัง ฮังการีเริ่มทำเกมได้ดีขึ้นและตามมาเป็น 2-3 จาก จีออร์จี้ ซาโรซี่ ทำเอาผู้ชมในสนามที่ส่วนใหญ่เอาใจช่วยฮังการี ส่งเสียงโห่ร้องกันยกใหญ่ แต่ก็ไม่มีอะไรหยุดความยิ่งใหญ่ของนักเตะอัซซูรี่ได้ พวกเขาได้ประตูตอกฝาโลงในนาทีที่ 82 จากการยิงของ ปิโอล่า จบเกมอิตาลีชนะ 4-2 คว้าแชมป์โลกไปครองได้สำเร็จ เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกันเป็นทีมแรก

เมือง&สนามบอล
ตารางคะแนน
  • A
  • B
  • C
  • D
  • E
  • F
  • G
  • H
    หากไม่มีการระบุเวลาการแข่งขันใด ให้ยึดเวลาของ GMT+0800 เป็นหลักเท่านั้น
    เวบไซด์นี้สงวนลิขสิทธิ์โดย www.7mth.com Copyright © 2003 -